กก.บห.ออกเลือกใหม่ เคาะ 3 ก.ค.โหวตลุงป้อม
“ธนกร” ขอคนในบ้านหยุดฟัดรายวัน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ต้องขอโทษพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ไม่สบายใจกับปัญหาความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ ไม่เป็นผลดีกับพรรคด้วย ตนไม่เคยออกมาพูดถึงคนในพรรคเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคทุกคน แต่วันนี้อยากให้ทุกฝ่ายในพรรคเลิกขัดแย้ง หยุดการเมืองไว้ก่อน มุ่งหน้าแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนก่อน การเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เป็นไปตามข้อบังคับพรรคภายใน 45 วัน เมื่อเลือกเสร็จแล้วทุกอย่างก็จบตามครรลองประชาธิปไตย จึงไม่อยากเห็นการออกมาโจมตีผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคหรือในรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โดยเฉพาะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ทำงานเพื่อบ้านเมืองมาโดยตลอด อยากให้ทุกฝ่ายหยุดการเมืองไว้ก่อน ขอให้ทำตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม บอกไว้คือ คนที่อยู่ในตำแหน่งวันนี้ทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีใครออกมาให้ข่าวความขัดแย้งรายวัน จนสร้างความเบื่อหน่ายให้ประชาชนที่กำลังมองอยู่
“ธรรมนัส” บ่นการเมืองละครหลอก ปชช.
ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการทำงานในโอกาสที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ครบ 1 ปี ว่า ได้นำประสบการณ์การทำงานในทุกเวทีมาแก้ไขปัญหาให้ประชาชน นำทุกเรื่องเสนอหัวหน้ารัฐบาล เพื่อทำให้เห็นปัญหาของพี่น้องประชาชนจริงๆ ต่างกับเวทีการเมืองคนละเรื่องเลย เวทีต่างจังหวัดเวลาเราไปกลับมามีกำลังใจตั้งหน้าตั้งตาแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน ส่วนเวทีการเมืองเป็นเพียงเวทีละคร ถามประชาชนได้เลย ด่าๆแล้วมากอดกันเล่นละครหลอกชาวบ้าน มันไม่ใช่ชีวิตจริง ถ้าถามว่าโดนหนักไหม เฉยๆ ไม่ได้บอบช้ำอะไร เพราะชีวิตโดนหนักมามากกว่านี้
ย้อน รมต.สีเทาแต่ทำงานให้ชาวบ้าน
เมื่อถามว่า ถ้ามีการปรับ ครม.แล้วหลุดจากตำแหน่ง ร.อ.ธรรมนัสตอบว่า ต้องถามว่าด้วยเหตุผลอะไร แล้วความเป็นรัฐมนตรีสีเทาทำงานให้ชาวบ้านไหม ต้องดูว่าสีเทาในอดีตหรือสีเทาในปัจจุบัน เราไม่เคยทำมาหากินคุมซ่อง คุมบาร์ คุมบ่อน ประวัติเราไม่มี เรื่องในอดีตได้ชี้แจงแล้วหมดทุกประเด็น แต่คนไม่ฟัง ไม่ได้น้อยใจอะไรและไม่คอยไปจมอยู่กับอดีต ทุกคนมีอดีตหมด มีใครไม่มีอดีตบ้าง
ปชป.เดินตามหวังโละ “ทีมจุรินทร์”
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า ขณะนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวรวบรวมรายชื่อกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคให้ได้เกินครึ่ง จากที่มีอยู่ 39 คน ตามโครงสร้างพรรคให้ลาออก เพื่อขอให้มีการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ. นายอันวา สาและ รองเลขาธิการพรรคและ ส.ส.ปัตตานี พร้อม 9 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมลงชื่อเรียกร้องขอให้ผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบัน เปิดประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อระดมสมองแก้ปัญหาภายในพรรค กรณี ส.ส.และสมาชิกของพรรคทยอยลาออก ตามมาด้วยการลาออกจากตำแหน่งเหรัญญิกพรรคของนายอภิชัย เตชะอุบล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค สายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯและอดีตหัวหน้าพรรค ถือเป็นการลาออกนำร่องของกรรมการบริหารพรรคคนแรก และมีการเตรียมจัดประชุมใหญ่ในวันที่ 29 มี.ค. แต่ต้องสะดุดเพราะอยู่ในช่วงยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กระทั่งเริ่มมีความเคลื่อนไหวรวบรวมรายชื่อกรรมการบริหารพรรคให้ลาออกอีกครั้ง เพื่อรอการจัดประชุมใหญ่ใหญ่สามัญประจำปีตามที่ พ.ร.บ.พรรคการเมืองกำหนดตามข้อบังคับพรรคหากมีกรรมการบริหารพรรคเกินกึ่งหนึ่งลาออก จะทำให้กรรมการบริหารพรรคทั้งหมด ต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะและต้องเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วันนับแต่วันพ้นตำแหน่ง
ส.ส.อึดอัดใจ หน.พรรคสไตล์รวมศูนย์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุที่ทำให้มีการเคลื่อนไหว ให้เปลี่ยนแปลงผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์เกิดจากปัญหาสะสมในการบริหารงานของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคปัจจุบัน มีลักษณะรวมศูนย์ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับ ส.ส.จนลูกพรรคส่วนใหญ่ต่างคุยลับหลังว่าเหมาะกับการเป็นรัฐมนตรี แต่ไม่เหมาะเป็นหัวหน้าพรรค เพราะสนใจแต่งานในกระทรวง ขณะที่ปัญหาการบริหารภายในพรรค ทั้งกรณีสมองไหล แกนนำและสมาชิกพรรคทยอยลาออกอย่างต่อเนื่อง กลับนิ่งเฉยไม่ประชุมหาทางแก้ไขเพื่อรักษาบุคลากรของพรรคไว้
เซ็งดึง ปชป.ตกต่ำกลายเป็นแค่ลูกไล่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ยังมีกรณีที่สร้างความไม่พอใจในวุฒิภาวะผู้นำต่อลูกพรรคคือการนำข้าวสาร 25.5 ตัน ไปแจกให้ อบต.ทุกแห่งใน จ.พังงาช่วงวิกฤติโควิดจังหวัดเดียว ทั้งที่พื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัดต่างประสบปัญหาเดียวกัน จน ส.ส.บางคนเอ่ยปากต่อว่าใจดำ แทนที่จะกระจายข้าวให้จังหวัดละ 2-3 ตันให้ทั่วถึงเท่าเทียม เทียบกับยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ยังส่งถุงยังชีพแจกจ่ายลูกพรรคทุกเขตเลือกตั้งนำไปแจกจ่ายประชาชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึงไม่มีการแสดงจุดยืนทางการเมืองที่จำเป็น แต่กลับวางบทบาทพรรคในสถานะเหมือนเป็นลูกไล่ที่ต้องคอยปฏิบัติตามพรรคพลังประชารัฐ บนข้ออ้างว่าพรรคไม่ได้เป็นแกนนำ ต้องมีมารยาททางการเมืองในการร่วมรัฐบาล จน ส.ส.หลายคน อึดอัดและกังวลว่าอนาคตพรรคจะยิ่งตกต่ำลงจากการนำพาพรรคที่กำลังแปรสภาพกลายเป็นพรรครอเสียบ รอร่วมรัฐบาลแบบไร้ข้อแม้ ไม่ต่างจากพรรคตัวแปรอื่นๆ จะทำให้พรรคเสียแนวทางและอุดมการณ์ทางการเมือง ที่เคยเป็นจุดแข็งที่แตกต่างเหนือพรรคอื่น
“อันวา” ได้ข่าวยังไม่มีใครขอให้ไขก๊อก
นายอันวา สาและ ส.ส.ปัตตานี และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวดังกล่าวว่า ได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่ยังไม่มีใครมาทาบทามให้ร่วมลงชื่อลาออกจากการเป็นรองเลขาธิการพรรค ซึ่งส่วนตัวต้องการให้มีการปรับปรุงพรรคไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ได้ต้องการโค่นล้มใคร ยืนยันตามเนื้อหาในจดหมายที่เคยยื่นต่อหัวหน้าพรรคไปเมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ต้องการให้มีการประชุมใหญ่โดยเร็วที่สุดเพื่อระดมสมองแก้ปัญหาภายในพรรคที่สูญเสียบุคลากรของพรรคไปอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่เป็นรองเลขาธิการพรรค ตนไม่ได้ต้องการมีตำแหน่งนี้เพียงเพื่อมาพิมพ์ในนามบัตร แต่เห็นว่าตำแหน่งบริหารมาพร้อมความรับผิดชอบที่ต้องขับเคลื่อนพรรคไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อเห็นอะไรเป็นปัญหาต้องร่วมกันแก้ไข
จี้ใจดำคนแห่ออกเหตุพรรคล้มเหลว
“สิ่งที่เราต้องกลับมาพิจารณาคือสมาชิกที่ลาออกไปล้มเหลวที่จะอยู่กับพรรคหรือว่าการบริหารพรรคล้มเหลว สมาชิกไม่เห็นอนาคตจึงลาออกไป การประชุมใหญ่จะทำให้เราได้ระดมสมองร่วมกัน ผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องยืนเคียงข้างประชาชนตามอุดมการณ์ของผู้ก่อตั้งพรรค อะไรทำให้พรรคตกต่ำลง เราต้องหาคำตอบให้ได้เพื่อแก้วิกฤติพรรค และแสดงความรับผิดชอบร่วมกัน ในจดหมายที่ผมยื่นต่อหัวหน้าพรรคได้แสดงเจตจำนงไว้ด้วยว่าหากแนวทางแก้ไขวิกฤติพรรคประชาธิปัตย์ ต้องมีการเสียสละเพื่อให้มีการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เข้ามา สร้างศรัทธาให้กับสังคมผมก็ยินดี เพราะไม่ยึดติดกับตำแหน่ง และไม่เคยคิดโค่นล้มใคร แต่ต้องการเห็นพรรคยืนหยัดได้อย่างแข็งแรงอีกครั้ง” นายอันวากล่าว
“สุดารัตน์–สมพงษ์” สยบ พท.ร้าว
เมื่อเวลา 10.40 น. ที่รัฐสภา แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี ในฐานะประธานภาคอีสาน ร่วมกันแถลงถึงกรณีมีกระแสข่าวความแตกแยกภายในพรรคเพื่อไทย โดยมีหลายกลุ่มเตรียมแยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่ โดยนายสมพงษ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาทั้งตนและคุณหญิงสุดารัตน์ทำงานกันกลมเกลียว เข้าอกเข้าใจกัน ขอให้เข้าใจด้วยว่าเราทำงานกันกลม-เกลียวอย่างจริงจัง ไม่เชื่อลองสอบถามสมาชิกพรรคได้เลย อาจจะติดขัดกันบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำ ความเข้าใจกันได้ ไม่มีอุปสรรคใดทั้งสิ้น
หน.พรรคลั่น 130 ส.ส.ไม่หนีไปไหน
เมื่อถามว่าได้เคยพูดคุยกับผู้ที่ออกไปตั้งพรรคใหม่หรือไม่ นายสมพงษ์กล่าวว่า เราคุยกันปกติไม่มีอะไร อยากเรียนว่าในขณะที่เรามองว่ารัฐบาลอยู่ในภวังค์ที่โซเซ ย่อมมีบุคคลที่ต้องเตรียมตัว อย่างเช่นพรรคไทยรักษาชาติก็เตรียมตัว ไม่ได้เป็นเรื่องแปลก เรายังเป็นเพื่อนฝูงกัน เพราะพรรคเราไม่มีทางที่จะ ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เมื่อถามย้ำว่าการแถลงข่าววันนี้แปลว่าใครจะย้ายไปอยู่พรรคใหม่ พรรคเพื่อไทยก็เปิดกว้างใช่หรือไม่ นายสมพงษ์กล่าวว่า มั่นใจว่า ส.ส.เพื่อไทยกว่า 130 คนไม่ไปไหน อยู่พรรคเพื่อไทยนี่แหละ ที่จะไปคือไปเอาปาร์ตี้ลิสต์ การตั้งพรรคเป็นแนวความคิดของบุคคลที่เห็นว่ารัฐบาลมีปัญหาก็เตรียมตัว พรรคอื่นก็เตรียมกันอยู่ ซีกรัฐบาลก็เตรียมอยู่เช่นกัน
“เจ๊หน่อย” โบ้ยข่าวป่วนทำลายพรรค
ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ข้อเท็จจริงวันนี้เราทำงานอย่างกลมเกลียวกัน เพื่อให้พรรคแข็งแรงเป็นที่พึ่งที่หวังให้กับประชาชน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ พรรคเราไม่มีเวลามาทะเลาะกัน ข่าวที่ออกมา 2-3 อาทิตย์ พวกเราไม่สบายใจ เพราะเป็นแหล่งข่าวที่ออกมาทำลายความเชื่อมั่นต่อประชาชนและต่อพรรค ไม่เป็นความจริง ช่วงโควิด-19 ส.ส.เราทุกคนทำงานอย่างต่อเนื่องเข้มแข็ง ส่วนเรื่องที่มีการผูกโยงกับข่าวที่จะมีสมาชิกออกไปตั้งพรรค เราเข้าใจรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องการไม่ให้พรรคเพื่อ-ไทยได้ปาร์ตี้ลิสต์ คนที่เป็นนักการเมืองแล้วต้องเข้าสภาฯ เขาจะไปช่วยกันทำพรรคขึ้นมาเป็นเรื่องดีทั้งนั้น เรามั่นใจว่าเขายังอยู่ซีกประชาธิปไตย เราไม่ได้ขัดข้องอะไรเลย เป็นความจำเป็นจากกติกาที่บิดเบี้ยวเราเข้าใจดี
เชื่อมั่นคนออกไปยังอยู่ซีก ปชต.
นายสุทินกล่าวว่า ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ที่ทำงานภายใต้การนำของหัวหน้าพรรคและประธานยุทธศาสตร์ ถ้า 2 ท่านทำงานไม่เป็นเอกภาพ คนที่จะทำงานยากคือตนและเลขาธิการพรรค ข้อเท็จจริงคือตนทำงานอย่างมีความสุข ไม่สับสนอะไร ข่าวที่ปรากฏออกมา ไม่ว่าจะจากแหล่งข่าวใดก็ตามยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ใครเจตนาปล่อยข่าวให้พรรคเสียหายเราก็ขอว่าอย่าทำอย่างนั้นเลย เราเข้าใจเรื่องการออกไปตั้งพรรคเป็นเรื่องปกติ ควรสนับสนุนด้วยเพราะรัฐธรรมนูญเป็นแบบนี้ เชื่อว่าไม่น่าจะใช่เจตนาของท่านเหล่านั้น แต่หากเป็นเจตนาจริงๆท่านก็ต้องให้ความเห็นใจจากเพื่อน ส.ส.เชื่อว่าทั้งคนที่อยู่ และคนที่ไปยังเข้าใจกัน เพราะต้องทำงานร่วมกันในอนาคตอีกยาว และยังอยู่ที่ฝ่ายประชาธิปไตยเหมือนเดิม ถ้ารัฐธรรมนูญไม่เป็นแบบนี้ เชื่อว่าท่านจะอยู่ที่เดิมและเชื่อว่าสุดท้ายเราจะจับมือทำงานร่วมกันเหมือนเดิม ดังนั้นน่าเห็นใจท่านด้วยซ้ำไป เพราะถ้าเราดึงท่านไว้จะไม่มีโอกาสทำงานการเมือง แต่ท่านไปอย่างนั้นเราเป็นกำลังใจให้ด้วย ถ้ามีอะไรให้ช่วยเรายินดีช่วย
“ชูวิทย์” ยัน ส.ส.อีสานยังเหนียวหนึบ
ขณะที่นายชูวิทย์กล่าวว่า พวกเรายังเหนียวแน่นกลมเกลียวอยู่ร่วมกันในพรรค เพื่อความหวังของพี่น้องประชาชนชาวอีสานที่ให้ความไว้วางใจเราตั้งแต่เป็นไทยรักไทย พลังประชาชนถึงเพื่อไทย เชื่อว่าเพื่อน ส.ส.ทุกคนไม่หนีไปไหน ยังอยู่เพื่อกอบกู้ประชาธิปไตย ทำงานให้ชาวอีสานที่มอบความไว้วางใจให้เรา
บิ๊ก กก.ฉุน ส.ส.ดอดกินข้าวกับ “เจ๊หน่อย”
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคก้าวไกลว่า ช่วง 2 สัปดาห์ก่อนอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน มี ส.ส.พรรคก้าวไกลเขตพื้นที่ กทม.จำนวนหนึ่ง นัดทานอาหารส่วนตัวร่วมกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โดยมีอดีตผู้สมัคร ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย จากกลุ่มคนรุ่นใหม่ เป็นตัวกลางประสานงาน โดยแอบนัดพบกันไม่ได้แจ้งแกนนำและผู้ใหญ่ภายในพรรคให้รับทราบ เมื่อแกนนำพรรคก้าวไกลได้ทราบจึงไม่พอใจเป็นอย่างมากได้เรียกกลุ่ม ส.ส.ดังกล่าวมาตักเตือน พร้อมแจ้งไปยังพรรคเพื่อไทยว่าพรรคก้าวไกลไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฝ่ายผู้บริหารและผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทยแจ้งกลับมาว่าไม่พอใจต่อการกระทำของคนฝ่ายตัวเองเช่นกัน การนัดทานอาหารระหว่าง ส.ส.บางส่วนของพรรคก้าวไกลกับคุณหญิงสุดารัตน์ ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่ได้ตกเป็นข่าว โดย ส.ส.กทม.ได้เริ่มจับกลุ่มกันตั้งแต่สมัยสังกัดพรรคอนาคตใหม่ติดต่อพูดคุยระหว่างกันสม่ำเสมอ
ลือหวังสร้างฐานอำนาจใหม่สู้ศึก กทม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการตั้งข้อสงสัยจากคนในพรรคว่าเหตุใด ส.ส.พรรคก้าวไกลที่ไปในวันนั้นจึงมีแต่สมาชิกตัวแทนพื้นที่ กทม.เกือบทั้งหมด ประจวบเหมาะกับที่คุณหญิงสุดารัตน์เป็นผู้ดูแล ส.ส.กทม.ของพรรคเพื่อไทย เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจมีการดีลกันไว้ล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้งสมัยต่อไป ให้ ส.ส.พรรคสีส้มหลีกทางให้ผู้สมัครของพรรคฝ่ายตัวเองลงสมัคร เพื่อเพิ่มโอกาสชนะเลือกตั้งระดับเขตของ กทม. เพราะพรรคเพื่อไทยเสียหน้าที่ต้องเสียเก้าอี้ให้พรรคน้องใหม่เหมือนกัน ประกอบกับข่าวลือว่าคุณหญิงสุดารัตน์อาจไปตั้งพรรคใหม่เพราะไม่สามารถทำงานร่วมกับสมาชิกกลุ่มอื่นในพรรคเพื่อไทยได้ การเข้ามาตีสนิท ส.ส.รุ่นน้องเหล่านี้อาจหาแนวทางสร้างฐานอำนาจ เตรียมแยกวงออกไปฉายเดี่ยวทำงานการเมืองของตัวเองหรือไม่
“ณัฐชา” โต้ไม่มีคุยย้ายพรรคปัดงัดข้อผู้ใหญ่
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. เขตบางขุนเทียน และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่าในฐานะ 1 ใน 7 ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล ขอยืนยันว่า ส.ส.ในกลุ่มไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ และไม่เคยมีโอกาสพบกับคุณหญิงสุดารัตน์เป็นการส่วนตัว ขอยืนยันอีกครั้งว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ส่วนกรณีที่ตั้งข้อสังเกตว่าการนัดทานอาหารครั้งนี้จะเชื่อมโยงกับการย้ายพรรคของ ส.ส.บางส่วนของพรรคก้าวไกล ตอนนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน ความสัมพันธ์ระหว่าง ส.ส.กทม. 7 คนยังคงเหนียวแน่นอย่างมาก เราปรึกษาหารือกันอยู่ตลอด ยืนยันว่า ส.ส.กทม.ไม่ได้ขัดแย้งกับแกนนำของพรรค ไม่ได้ถูกเรียกไปตักเตือน ความสัมพันธ์ภายในพรรคก้าวไกลยังคงมั่นคงอยู่
“เอ๋–วัน” จับมือโชว์หลังโต้เดือดเฟซ
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวของแกนนำพรรคเพื่อไทยเสร็จสิ้น นายวัน อยู่บำรุง ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ได้เดินออกจากห้องที่แถลงข่าวและได้พบกับ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ที่เดินผ่านมาพอดี ทั้ง 2 คนได้ทักทายกันและจับมือโชว์ต่อหน้าสื่อ หลังจากทั้งคู่มีปัญหาความ ขัดแย้งในโซเชียลมีเดีย โดยกรณีล่าสุด น.ส.ปารีณาได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกอุ้มหายที่กัมพูชาว่า “ไม่รู้จักวันเฉลิม รู้จักแต่วันเฉลิม อยู่บำรุง” ขณะที่นายวันได้แชร์ข้อความดังกล่าวพร้อมตอบกลับดุเดือดว่า “อย่ามายุ่งกับ KU”
ก้าวไกลกันท่าบิ๊กเนม รบ. ยึด กมธ.ป.ป.ช.
ที่รัฐสภา นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะ กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทน ราษฎร กล่าวถึงกระแสข่าวมีบิ๊กเนมจากพรรครัฐบาลจะเข้ามาเป็น กมธ.ป.ป.ช. แทนนายจุลพันธ์ โนนศรีชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ที่ลาออกว่า กมธ.ป.ป.ช.รัฐบาลมี 8 เสียง ฝ่ายค้านมี 6 เสียง ขัดหลักตรวจสอบที่ควรให้ฝ่ายค้านมีเสียงมากกว่า ยิ่งถ้าบิ๊กเนมฝ่ายรัฐบาลเข้ามาจะทำให้ กมธ.ฝ่ายรัฐบาลเพิ่มเป็น 9 เสียง ฝ่ายค้านมี 6 เสียง ฝ่ายค้านยิ่งตรวจสอบรัฐบาลยากขึ้น รัฐบาลไม่ควรกินรวบทุกอย่าง แม้กระทั่งการตรวจสอบในฝ่ายนิติบัญญัติ กมธ.สัดส่วนที่เลือกใหม่ควรเป็นโควตาฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลไม่ควรแทรกแซงเพิ่มโควตา กมธ.ให้ตัวเอง ที่สำคัญคนที่จะมาเป็น กมธ.ป.ป.ช.ควรขาวสะอาดโปร่งใส ไม่มีคดีทุจริตหรือถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบ ถ้าบิ๊กเนมคนนี้เข้ามาจะทำให้ความน่าเชื่อถือของ กมธ.น้อยลง อาจส่งผลต่อตำแหน่งประธาน กมธ. ป.ป.ช.ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ถูกเปลี่ยนแปลง
กมธ.เชิญนายกฯแจง ลต.ท้องถิ่น
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะ กมธ.พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาฯแถลงว่า ที่ประชุม กมธ.พิจารณาการกำหนดการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นในปี 2563 ขณะนี้ออกระเบียบเตรียมพร้อมงบประมาณ การแบ่งเขตเลือกตั้ง กมธ.ว่าพร้อมจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นได้แล้ว แต่ ครม.ยังไม่มีมติจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น จึงมีมติให้เชิญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมเข้าร่วมประชุมวันที่ 17 มิ.ย. คาดว่านายกฯอาจส่งตัวแทนมา ถ้านายกฯจริงใจขอให้มาชี้แจงเอง กมธ.ตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุใดรัฐบาลจึงยังไม่พร้อมจัดเลือกตั้งท้องถิ่น ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญต่อปากท้องประชาชน ส่วนที่ยังไม่ยกเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ลิดรอนสิทธิประชาชนในการเลือกตั้งท้องถิ่นด้วยเช่นกัน
ศาล รธน.ฟัน “ระวี รุ่งเรือง” พ้น ส.ว.
เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของนายระวี รุ่งเรือง สมาชิกวุฒิสภา อดีตนายกสมาคมการค้าเครือข่ายชาวนาไทยและเลขานุการคณะกรรมการศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ สิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 111 (4) ประกอบมาตรา 108 ข จากกรณีมีลักษณะต้องห้ามตาม (1) มาตรา 98 (8) และมาตรา 82 วรรคสี่ เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ มีผลนับแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัย
พิษคดีทุจริตเรียกรับเงินสอบสมาชิก อส.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณีดังกล่าว กกต.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญหลังปรากฏหลักฐานว่าก่อนนายระวีได้รับการสรรหาและแต่งตั้งเป็น ส.ว.เคยถูกลงโทษทางวินัยไล่ออกจากราชการ ฐานประพฤติชั่วร้ายอย่างร้ายแรง เนื่องจากขณะเป็นเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เรียกรับเงินจากผู้สมัครสอบคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิกอาสารักษาดินแดน เคยมีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อ.778/2558 ว่าการเรียกและรับเงินจากผู้ที่ประสงค์จะเข้ารับราชการ เพื่อเป็นค่าวิ่งเต้นให้ได้เข้ารับราชการนั้น เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและความร้ายแรงอยู่ที่ระดับเดียวกับกรณีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ นายระวีจึงเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามเป็น ส.ว. แม้เวลาต่อมานายระวีจะได้รับการล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน ปี พ.ศ.2539 และ พ.ร.บ.ล้างมลทินปี 2550 จึงถือว่ามีเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ว.ของนายระวีสิ้นสุดลง
เคารพคำตัดสิน แต่คาใจถูกเพิ่มโทษ
นายระวีกล่าวหลังรับฟังคำวินิจฉัยว่า ยอมรับและเคารพคำวินิจฉัยที่ออกมา แต่ยังมีประเด็นคาใจโดย เคยถูกลงโทษทางวินัยครั้งแรกลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้นในปี 36 ต่อมาปี 39 เดือน มิ.ย. มี พ.ร.บ.ล้างมลทินออกมา แต่อนุกรรมการข้าราชการพลเรือนของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยกลับมีมติในเดือน ส.ค.39 ให้เพิ่มโทษตนเป็นไล่ออกจากราชการ ทั้งที่ตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน ปี 39 กำหนดห้ามเพิ่มโทษบุคคลที่ได้รับโทษทางวินัยไปบางส่วนแล้ว จึงเห็นว่าเมื่อ พ.ร.บ.ล้างมลทินปี 39 มีการกำหนดห้ามเพิ่มโทษแล้ว ต้องไม่เป็นผู้ถูกโทษไล่ออกจากราชการ ได้ยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญไปก่อนหน้านี้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญคงไม่ได้พิจารณาก็ไม่เป็นไรพร้อมเคารพ
เลื่อนลำดับ “อ.ยักษ์” เสียบเเทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายระวี รุ่งเรือง พ้นสภาพการเป็น ส.ว.เนื่องจากขาดคุณสมบัติ เคยต้องโทษถูกไล่ออกจากราชการในสมัยที่เป็นเจ้าหน้าที่กรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ซึ่งส่งผลให้จะต้องมีการเลื่อน ส.ว.จากรายชื่อในบัญชีสำรองขึ้นมาดำรงตำแหน่งเเทน โดยผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในลำดับถัดไป ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งเเทนนายระวี คือนายวิวัฒน์ ศัลยกำธร อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ หรือ อ.ยักษ์
อัยการ–ป.ป.ช.เคาะส่งฟ้อง “วิรัช”
ผู้สื่อข่าวรายงานจากคณะทำงานร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กับอัยการถึงความคืบหน้าการพิจารณาสำนวนการทุจริตเงินจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลในพื้นที่เขตการศึกษาที่ 2 จ.นครราชสีมา ที่มีนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐกับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่กำลังพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องนายวิรัชกับพวกหรือไม่นั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.คณะกรรมการร่วม ป.ป.ช.และอัยการ ได้ประชุมพิจารณาทบทวนสำนวนดังกล่าวร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อหารือถึงข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงร่วมกันได้ก่อนหน้านี้ โดยในการประชุมวันดังกล่าวคณะทำงานสองฝ่ายสามารถทำความเข้าใจในข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนได้แล้ว จึงมีมติร่วมกันสั่งฟ้องนายวิรัชกับพวก เพื่อเสนอต่ออัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป เพื่อให้ใช้ดุลพินิจเป็นขั้นตอนสุดท้ายว่าจะสั่งฟ้องนายวิรัชกับพวกหรือไม่
รอวัดใจอัยการสูงสุดสั่งฟ้องหรือไม่
นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก ป.ป.ช.กล่าวว่า คณะทำงานร่วม ป.ป.ช.และอัยการได้หารือกันเป็นนัดสุดท้าย และได้ข้อยุติเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ จากนี้จะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง ตามกระบวนการกฎหมายต้องรอฟังทางอัยการสูงสุดแจ้งมาก่อนว่าจะฟ้องหรือไม่ ถ้าอัยการสั่งฟ้องจะส่งฟ้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ถ้าอัยการสั่งไม่ฟ้องจะส่งเรื่องคืนมาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ถ้า ป.ป.ช.พิจารณาแล้วยืนยันว่าจะต้องฟ้องสามารถดำเนินการฟ้องเองได้
“เอกชัย” ชี้เบาะแสยึดทรัพย์ “ผู้กองมนัส”
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายเอกชัย หงส์กังวาล นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เข้าชี้เบาะแสให้เจ้าหน้าที่ยึดทรัพย์กรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ถูกศาลออสเตรเลียพิพากษาคดีเฮโรอีน มีนายไพศาล กันทะเตียน ผอ.สำนักงานตรวจสอบทรัพย์สินคดียาเสพติด ป.ป.ส.รับเรื่อง นายเอกชัย เปิดเผยว่า เมื่อเดือน ก.พ.63 อดีต ส.ส.พรรคอนาคต–ใหม่อภิปรายในสภาฯกรณี ร.อ.ธรรมนัสเคยต้องโทษคดียาเสพติดที่ออสเตรเลียเมื่อปี 36 และนำคำพิพากษามาเผยแพร่ กระทั่งมีข้อมูลว่ามี พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ประกาศใช้เมื่อปี 2534 ตามมาตรา 5 ระบุว่าให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการยึดทรัพย์ ถ้าเป็นคนไทยถูกจับกุมกรณียาเสพติด แม้จะเป็นนอกราชอาณาจักร สามารถตรวจสอบได้เช่นกัน และ ร.อ.ธรรมนัส แสดงบัญชีทรัพย์สินร่วมกับภรรยารวมทั้งสิ้นประมาณ 800 ล้านบาท สงสัยว่าทำไมจึงมีทรัพย์สินมากขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าเป็นเพียงนายทหารยศเล็กๆและถูกถอดยศตั้งแต่ปี 41
“โรม” ตั้งกระทู้จี้ถามอุ้ม“วันเฉลิม”
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม โดยนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามสดนายกฯถึงเหตุการณ์อุ้มนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ประเทศกัมพูชา สังคมเคลือบแคลงอาจมีเงื่อนงำ รัฐบาลไม่ใส่ใจช่วยเหลือติดตาม นับแต่นายกฯเถลิงอำนาจมีการอุ้มหายไปแล้ว 9 ราย 7 รายไม่รู้ชะตากรรม 2 รายเสียชีวิต แต่ไม่มีการชี้แจงว่า 9 คดีคืบหน้าอย่างไร ขณะที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ชี้แจงแทนนายกฯว่า กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลกัมพูชายังไม่ยืนยันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ นายวันเฉลิมไม่เคยขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม คงไม่สามารถตอบอะไรได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอธิปไตยของกัมพูชา หากสมาชิกต้องการทราบข้อมูล 9 คนที่สูญหายในยุค คสช. ยินดีจะช่วยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงยุติธรรมให้
กต.รอกัมพูชาแจงชี้ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย
จากนั้นนายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้สดถามกระทรวงการต่างประเทศถึงการติดตามช่วยเหลือนายวันเฉลิม มีนโยบายดูแลผู้ลี้ภัยที่อยู่ต่างประเทศอย่างไร โดยนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า เป็น รมว.ต่างประเทศมา 6 ปี ไม่เคยได้เห็นชื่อนายวันเฉลิม จนเกิดเหตุการณ์ อาจเพราะเป็นชื่อไม่มีความสำคัญมากนักในแง่การต่างประเทศและความมั่นคง จึงไม่น่าเป็นผู้มีภัยคุกคามต่อความมั่นคง กำลังรอฟังคำตอบจากรัฐบาลกัมพูชา ที่จะเริ่มตรวจสอบวันที่ 10 มิ.ย. ต้องให้เวลา รัฐบาลไทยทำได้อย่างมากแค่ฝากกัมพูชาช่วยติดตาม คงตอบได้เพียงเท่านี้ ไม่สามารถพยากรณ์คาดเดาอะไรได้ล่วงหน้า ตามบันทึกของ กต.นายวันเฉลิมไม่อยู่ในสถานะผู้ลี้ภัย รวมถึงในบัญชีของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ก็ไม่มีชื่อนายวันเฉลิมอยู่ในบัญชีผู้ลี้ภัยทางการเมือง แต่กลับปล่อยข่าวให้คนสนใจ การให้เบาะแสข้อมูลคดีนี้ตามเพจต่างๆ ปั่นกระแสกันได้ง่ายตามโซเชียลจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ควรรอฟังคำชี้แจงจากกัมพูชาดีกว่า
สภาฯค้านร่วม CPTPP ตั้ง กมธ.สอบ
ต่อมาที่ประชุมสภาฯได้พิจารณาญัตติด่วนเรื่อง การตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบการลงนามข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) 7 ฉบับ โดย ส.ส.ส่วนใหญ่ได้อภิปรายเห็นด้วยให้ตั้ง กมธ. ดังกล่าวและคัดค้านยังไม่ให้เข้าร่วม CPTPP กันอย่างกว้างขวาง หลังจากใช้เวลา 7 ชั่วโมงอภิปราย ครบถ้วนกันแล้ว นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ขอยกเว้นข้อบังคับการประชุม ให้ตั้ง กมธ.โดยไม่ต้องลงมติ เนื่องจาก ส.ส.อภิปรายแนวทางเดียวกัน ที่ประชุมไม่มีใครคัดค้าน จึงมีมติให้ตั้ง กมธ.วิสามัญขึ้น 49 คน
"เงินฝากสามัญ" - Google News
June 11, 2020 at 05:25AM
https://ift.tt/3e45SmV
พรรคประชาธิปัตย์ร้าว-ไล่จุรินทร์ - ไทยรัฐ
"เงินฝากสามัญ" - Google News
https://ift.tt/3cRGdfx
No comments:
Post a Comment